4 เกณฑ์ในการพิจารณาว่าจะเลือกซื้อเครื่องแพ็คพาเลตแบบแท่นหมุนหรือแบบแขนเหวี่ยงดี
การเลือกเครื่องแพ็คพาเลตสำหรับเฉพาะทางอาจเป็นเรื่องที่ดูยุ่งยาก แนวทางหลักที่ใช้ในการตัดสินใจก็คือพิจารณาว่าคุณกำลังจะนำไปแพ็คอะไร สำหรับเครื่องแพ็คพาเลตแบบกึ่งอัตโนมัติที่แม้จะมีหลายรุ่นหลายแบบแต่ก็สามารถแยกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ก็คือแบบแท่นหมุนได้ กับแบบแขนเหวี่ยง
แบบแท่นหมุนได้(Turntable stretch wrapper) เป็นเครื่องแพ็คพาเลตแบบที่สามารถหมุนกองสินค้าได้ในขณะที่การพันฟิล์มยืดนั้นจะใช้การขยับเพียงขึ้นและลงเท่านั้น ในขณะที่แบบแขนเหวี่ยง(Straddle wrapper)นั้นกองสินค้าจะอยู่กับที่แต่จะมีแขนเหวี่ยงที่จะพันฟิล์มยืดไปรอบ ๆ กองสินค้าที่วางไว้เฉย ๆ นั้น แต่จะเลือกแบบใดดีนั้นลองมาดูเกณฑ์ 4 ข้อนี้กันก่อน
- น้ำหนักของสินค้าที่คุณจะแพ็ค เครื่องแพ็คพาเลตแบบแท่นหมุนจะสามารถรองรับน้ำหนักสินค้าได้สูงสุดประมาณ 2,200 กิโลกรัม ในขณะที่แบบแขนเหวี่ยงรับหนักได้มากกว่านั้นเพราะไม่ต้องวางกองสินค้าไว้บนแท่นหมุนที่มีมอเตอร์เป็นองค์ประกอบ จึงไม่ได้กำหนดน้ำหนักสูงสุดไว้ตายตัว อีกอย่างหนึ่งก็คือแบบแขนเหวี่ยงจะเหมาะกับสินค้าที่มีน้ำหนักเบามากกว่าแบบแท่นหมุน เพราะสินค้าที่เบาเมื่อวางบนแท่นหมุนที่หมุนด้วยความเร็วเฉลี่ยประมาณ 12 – 15 รอบต่อนาทีก็อาจทำให้สินค้านั้นหลุดร่วงลงมาจากกองสินค้าได้ก่อนที่จะแพ็คเสร็จ
- พื้นที่ที่จะวางเครื่องแพ็คพาเลต หากพื้นที่ที่จะใช้วางนั้นมีจำกัด เครื่องแบบแท่นหมุนได้ก็จะเหมาะสมกว่าเพราะไม่ต้องใช้พื้นที่มากในการจัดวาง ในขณะที่เครื่องแบบแขนเหวี่ยงต้องใช้พื้นที่มากกว่าเพราะต้องรวมไปถึงการเหวี่ยงพันฟิล์มในขณะทำงานด้วย ซึ่งในเรื่องของขนาดก็ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องของการขนย้ายด้วย หากคุณต้องการปรับเปลี่ยนพื้นที่ในการแพ็คสินค้า เครื่องแบบมีแท่นหมุนก็จะสามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวกกว่าเพราะมีขนาดเล็กกว่าและน้ำหนักเบากว่านั่นเอง
- ความสูงของเพดาน หากพื้นที่ที่จะวางนั้นมีระดับของเพดานต่ำ เครื่องแบบแท่นหมุนก็จะเหมาะสมกว่า เพราะเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เครื่องแพ็คพาเลตแบบแท่นหมุนจะมีความสูงน้อยกว่าเครื่องแบบแขนเหวี่ยงสำหรับปริมาณการแพ็คสินค้าที่มีน้ำหนักเท่า ๆ กัน แบบแท่นหมุนจะเหนือกว่า
- งบประมาณ เมื่อใช้เกณฑ์นี้ในการพิจารณาแล้วเครื่องแพ็คพาเลตแบบแท่นหมุนก็จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เพราะมีราคาที่ต่ำกว่าแบบแขนเหวี่ยง มากกว่า 15% ไปจนราคาต่างกันเกินกว่า 3 เท่าเลยก็มี
เมื่อตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องไม่ว่าจะแบบใดก็ตาม สิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วยอย่างสม่ำเสมอก็คือการดูแลและบำรุงรักษาเครื่องให้ถูกวิธีเพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องให้นานที่สุด โดยปกติจะมีคู่มือแนะนำให้อยู่แล้วแต่เพื่อความสะดวกก็ถามพนักงานขายเลย ง่ายที่สุด ไม่ต้องเสียเวลาไปศึกษาเอง